ย้ายสายมาได้ยังไง

Peeranat Danaidusadeekul

Peeranat Danaidusadeekul

October 14, 2023

วันนี้มาสู่หัวข้อที่มีคน request เข้ามาประมาณนึงเลยว่า “ย้ายสายมาได้ยังไง” วันนี้นิลจะมาเล่าประสบการณ์คร่าว ๆ ครับ ไม่พูดพร่ำทำเพลงดีกว่า ไปลุยกันเล้ย!

ต้องเล่าย้อนไปสมัยตอนขึ้นปี 3 ครับ ตอนนั้นนิลก็ยังสมองโล่งอยู่ว่าจบไปแล้วจะทำอะไรดี เพราะการเรียนในภาค IE นั้นมันกว้างและสร้างทางเลือกอาชีพให้เราได้เยอะมาก (แต่ก็ทำให้คนหลงทางได้หลาย ๆ คนเลย) แต่พอดีเทอมนั้นมีวิชาเรียนวิชานึงชื่อว่า Computer And Information Technology for Industrial Engineer (COMP IT/IE) ซึ่งในวิชานี้จะได้เรียนอะไรเยอะมาก ๆ ทั้งเรื่องของ Diagram ต่าง ๆ (Use case, 3-NF, etc.), Network Layer รวมไปถึงการสร้างเว็บไซต์ด้วย HTML, php และการเขียน SQL เพื่อดึงข้อมูลออกมาจากฐานข้อมูล เรียกได้ว่าเรียนมันเกือบทุกอย่าง (แต่ไม่ลึกซักอย่าง) ด้วยความที่อาจารย์เขาอยากให้นิสิตเข้าใจวิชากันมากขึ้น อาจารย์ก็สั่งโปรเจคกลุ่มเป็นให้ทำเว็บไซต์ที่ต้องมีการใช้สิ่งที่เรียนมาทั้งหมด โดยมีเวลาให้ 2 อาทิตย์นิด ๆ ตัวนิลและเพื่อนในกลุ่มก็มาคุยกันเพื่อจะแบ่งงานกันไปทำ จังหวะนี้แหละครับ จุดพลิกชีวิตเลย พอเพื่อน ๆ เห็นว่านิลพอเขียนได้ เพื่อน ๆ นิลบอกว่า “ไอนิล มึงทำวิชานี้ไปเลยนะ เดี๋ยวพวกกูไปช่วยวิชาอื่นให้มึงแทน” ใช่ครับ เพื่อน ๆ ผมไม่อยากมาเรียนรู้ Code กันเลยให้นิลจัดการทั้งโปรเจคคนเดียวเลย จากนั้นนิลก็เริ่มต้องศึกษาศาสตร์นี้ทั้งหมดเลยเพื่อปั้นโปรเจคนี้ให้รอดใน 2 อาทิตย์ด้วยตัวคนเดียวให้ได้ โชคดีที่คุณพ่อของนิลทำงานในสายงานนี้พอดี นิลเลยเอาของที่นิลสงสัยไปถามคุณพ่อแล้วก็สามารถพัฒนาโปรเจคเสร็จภายใน 2 อาทิตย์ได้โดยสวัสดิภาพ

จนช่วงจบปี 3 นิลไปฝึกงานแบบสหกิจศึกษา (ฝึกงาน 6 เดือนช่วง Summer ปี 3 ถึงปี 4 เทอม 1 และทำ Senior Project ร่วมกับทางบริษัท) ที่ True Digital Group ซึ่งจริง ๆ ต้องเข้าไปเป็น Data Scientist แต่ว่าพอตอนจะถึงวันที่ฝึกงานแล้ว ทางทีมที่รับไปเห็นว่าตอนที่นิลจะเข้าไปฝึกเข้าจะไม่มี Resource เวลามา Babysit ในเรื่อง Data ขนาดนั้น ด้วยความที่ทีมเขาเป็นทีมที่ทำ Web กับ App และมีแผนที่จะทำเว็บไซต์แพลตฟอร์มใหม่อยู่และก็เห็นนิลมี Profile เคยเขียนเว็บมาอยู่บ้าง เขาเลย Offer ให้เปลี่ยนตำแหน่งเป็น Dev ไป ทีนี้ไอเราก็ชอบตอบรับทุกโอกาสที่เข้ามาซะด้วยสิ ทีนี้ก็ว้าวุ่นเลย ก็รับ Offer โดยที่ตอนนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า Dev คืออะไรด้วยซ้ำ 555555 เขาก็บอกให้เราไปเรียนมา 1 2 3 4 อย่าง นิลก็ตอบรับและกลับไปก้มหน้าก้มตาเรียนมาครับ สุดท้ายก็ได้ไปเขียนเว็บไซต์ที่ใช้ Nuxt 2 เป็น Frontend และใช้ Node.js + Express เป็น Backend (ขอไม่พูดถึงรายละเอียดของโปรเจคมาก) ทำเป็นโปรเจคระยะเวลา 6 เดือนที่ระหว่างทำก็ยิ่งตอกย้ำความชอบการได้แก้ไขปัญหาและการฝึกวิธีคิดมากขึ้น ด้วยสิ่งที่ประสบมาทั้งหมดทำให้นิลเลือกอยากที่จะทำงานในสายนี้ครับ

หลังจากจบฝึกงาน นิลก็เข้าสู่โค้งสุดท้ายของชีวิตมหาลัย (ปี 4 เทอม 2) เป็นเทอมที่ชิวมาก และด้วยความชิวทำให้นิลมีเวลาที่จะไปนั่งไถ LinkedIn, JobsDB หรือ Platform หางานอื่น ๆ เพื่อหางานในตำแหน่ง Software Engineer ได้มากกว่าคนอื่นเขา และก็ทำให้รู้ความจริงของโลกใบนี้ว่า บริษัทในไทยส่วนใหญ่จะรับคนที่ใช้ React เป็นหรือมีประสบการณ์ในการใช้ React ทีนี้ก็ว้าวุ่นอีกทีเลย เรียน Vue + Nuxt มาตลอด 55555 นิลก็เลยใช้ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ในระบบการศึกษานั่งเรียนพื้นฐาน React (ด้วยความที่มีและเริ่มทำเว็บไซต์ด้วย React แบบงู ๆ ปลา ๆ เสร็จไปเว็บนึง (ตอนนี้เว็บนั้นสูญสลายไปละ ไม่เหลือซากอารยธรรมให้ดูละอะสิ 555) แล้วพอเริ่มมีความมั่นใจก็เริ่มยื่นสมัครไปหลายที่ จนสุดท้ายได้มีโอกาสมาร่วมงานกับ Skooldio ครับ

สิ่งที่อยากชี้ให้เห็นคือ

  1. การวางแผนที่ดีย่อมทำให้เรามีโอกาสมากกว่าคนอื่น จากในที่นิลเล่าไป จริง ๆ นิลวางแผนว่าจะฝึกงานแบบสหกิจศึกษาตั้งแต่เข้าไปในภาค IE แล้ว ทำให้พอนิลฝึกงานเสร็จ นิลมีเวลาในเทอม 2 เพื่อพุ่งไปยังเป้าหมายอาชีพที่ต้องการมากกว่าคนอื่น ๆ อยู่นิดนึงครับ
  2. การศึกษาตลาดแรงงานเป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้าตอนนั้นนิลคิดแค่ว่านิลเรียน Nuxt มาแล้วและนิลเอาประสบการณ์ Nuxt ไปหว่านหางานโดยที่ไม่ Skim ดูก่อนว่าส่วนใหญ่เขารับคนที่มีประสบการณ์ใน Framework/Library อะไร นิลอาจจะไม่ได้มานั่งเล่าเรื่องแบบนี้อยู่ก็ได้
  3. ทุกวิกฤต มีวิกฤตอยู่เสมอ และก็มีโอกาสอยู่เช่นกัน เช่นอย่างตอนที่เพื่อน ๆ นิลส่งงานวิชานี้มาให้นิลทั้งหมดแล้ว วิกฤตก็เกิดทันที และมันก็มีวิกฤตอยู่ในนั้นตลอดนะ 555 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในช่วงเวลาที่นิลปั่นงานวิชานี้ เพื่อน ๆ ก็ช่วยวิชาที่เหลือให้นิลและก็ชวนนิลเข้ากลุ่มติวแบบ One Night Miracle และนิลก็รอดมาได้ด้วยแหละ
  4. ความสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่สำคัญมาก การที่นิลสามารถทำงานสายที่นิลไม่เคยทำมาก่อนได้อย่างราบรื่น อาจจะเป็นเพราะพี่เลี้ยงฝึกงานดี โปรเจคไม่มีความซับซ้อนขนาดนั้น แต่อีกอย่างนึงแน่ ๆ คือความสม่ำเสมอในการฝึกการเขียน/การพัฒนา Logic ให้ใช้บ่อย ๆ จนเราสามารถทำงานได้ และทำได้เร็วขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย

การเล่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นไปด้วยการเล่าเพียงมุมเดียว แต่จริง ๆ นิลก็เป็นเด็กธรรมดาคนนึงที่ชื่นชอบการเล่นเกมส์ ดูการ์ตูนแหละ นิลก็ไม่ได้ใช้เวลาแบบ Productive แบบ 100% 200% 300% ขนาดนั้น เวลาที่นิลเล่านิลก็เล่าส่วนที่มันเกี่ยวกับตัวเรื่อง ไม่ได้เล่าแบบ เวลา 100% นิลแบ่งไปทำอะไรบ้าง (เพราะจริง ๆ นิลก็ไม่ได้ Track ไว้เหมือนกัน) แต่ยังไงก็ดี ไม่อยากให้คนอ่านแล้วแบบเครียดว่าชั้นเตรียมตัวไม่ดีจัง ชั้นไม่เก่ง ทำไมนิลบริหารเวลาดี วางแผนดี จริง ๆ มันไม่เป็นแบบนั้น 100% นะครับ นิลก็เหลวแหลกประมาณนึงเหมือนกันแหละ


จบไปแล้วนะครับ ในเรื่องของประสบการณ์การย้ายสายของนิล นิลคิดว่ามันอาจจะเป็นประโยชน์กับทุกคนไม่มากก็น้อยแหละ เพราะเป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนถามมากับมีคนอยากให้เขียนเรื่องนี้ด้วย 5555 ยังไงก็ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงจุดนี้นะครับ ไว้เจอกันใน Blog หน้าครับ

ขอให้ทุกคนที่อยากย้ายสายงานประสบความสำเร็จในการย้ายนะครับ

นิล

อยากคุยกับนิลเพิ่มเติมสามารถทักมาคุยกันได้ที่

LinkedIn: Peeranat Danaidusadeekul

Share: