ฮั่นแน่ เข้ามาอ่านนี่คาดหวังคำตอบของคำถามตามหัวข้ออยู่หรือเปล่านะ จริง ๆ Blog นี้นิลจะมาแชร์ประสบการณ์การทำ Freelance ครั้งแรก ซึ่งในตอนที่นิลเลือกทำนั้น จากคำถามข้างบน นิลเลือกเงินครับ แต่พอทำถึงจุด ๆ นึงมันก็มีจุดที่เรากลับมามองตัวเองว่าสุขภาพเราพังเบอร์นี้เลยหรอ หรือแบบ เราเข้าโรงบาลบ่อยไปไหมนะ ซึ่งนิลจะมาเล่าการเดินทางกับสิ่งที่นิลได้จากการตัดสินใจของนิลครับ จะเป็นยังไง ไปดูกันเล้ย
ทำไมถึงเลือกทำงานเสริมนอกเวลา?
ต้องเกริ่นก่อนว่านิลก็เป็นเด็กติดเกมส์คนนึงครับ และหนึ่งในเกมส์ที่นิลติดคือ Genshin Impact ครับ การจะเล่นเกมส์นี้ได้อย่างลื่นไหลนั้น ต้องใช้อุปกรณ์ที่ Spec ที่ค่อนข้างสูงครับ ตอนนั้นอยู่ดี ๆ นิลก็เกิดกิเลสในการซื้อ iPad Pro M2 มาเพื่อเล่น Genshin Impact อย่างลื่นไหลที่สุดแบบ 120 fps และก็ซื้อมาในที่สุด พอซื้อมาเท่านั้นแหละครับ มันก็เกิดความคิดว่า ”ชิบหายละ เงินที่จ่ายไปนี่เราไม่ได้วางแผนนี่หว่า น่าจะต้องหาเงินมาทบก้อนที่เราใช้จ่ายด้วยความวู่วามของเราไป” และจังหวะนั้นเอง เพื่อนนิลก็ทักมาว่ากำลังหา Dev ที่จะมาพัฒนาระบบของที่บ้านเพื่อนให้หน่อย นิลเลยลองคุยกับเพื่อนดูครับ ว่ารายละเอียดงานเป็นยังไง เรทราคาเป็นยังไง สุดท้ายนิลก็ตัดสินใจรับมาและก็คิดในใจว่า “รอดแล้วโว้ยย”
การบริหารเวลาเป็นยังไงบ้าง?
นั่นแหละครับ ความชิบหายมาเยือน ช่วงแรก ๆ ก็เหมือนยัง Balance ไม่ค่อยได้ งานประจำให้ 8 ชมละ งานนอกจะกี่ชั่วโมงดี จะ Manage ยังไงให้งานหลักไม่เสีย งานนอกก็ต้องผ่านพ้นไปให้ได้ แน่นอนครับ สิ่งที่เราทิ้งไปคือออ… เวลาพักผ่อน หายไปแบบย๊าบบบบ เหลือแบบ 3-5 ชั่วโมง จากที่นอน 8-10 ชั่วโมงมาตลอด พังเรียบในช่วงนั้นเลยครับ ช่วงเดือนแรกของงานนอกนี่สภาพก็ยังโอเคอยู่ ยังไหว แต่พอมาถึงเดือนถัด ๆ ไปนั้น สภาพทุกวันอย่างกับซากเลยครับ แถมแทนที่ชีวิตจะพอแค่นี้ยังทำ Side Project อื่นอีก (ตอนนั้นทำอีก Project ชื่อ Pomoration ด้วยความอินเรื่อง Productivity กับอยากลองใช้ Supabase แต่ตอนนี้ไม่ได้กลับไปแตะมันเลย 5555) รวมกับอีกเรื่องนึงคือเรา Underestimated งานไป คิดว่ามันจะเสร็จเร็วและง่ายแต่มันใช้เวลามากกว่าที่คิดไว้ เลยต้องใช้เวลาช่วงวันเสาร์อาทิตย์อีก บอกเลยว่ายับเยินมาก ๆ เกมส์ที่วางแผนว่าจะเล่นนั้น บอกเลยว่าไม่ได้เล่นเลย 55555
แล้วตอนไหนถึงรู้ว่าสุขภาพของตัวเองชิบหายแล้ว?
เอาล่ะ มันมาสู่ Part ที่ชิบหายมากตอนที่นิลเริ่มเข้าโรงบาลและเริ่มรู้สึกว่า เราป่วยบ่อยไปหรือเปล่านะ เราเริ่มรู้สึกว่าไปทำงานทุกวันมันล้าหรือเปล่านะ คำถามต่าง ๆ เริ่มโถมมาที่เราและก็อย่างที่เคยพูดในบทความเรื่อง “ลาพักผ่อน ลาทำไมนะ” นั่นแหละว่าเรารู้สึกได้เลยว่า Output ที่เรา Deliver ให้ทุก ๆ ฝั่งนั้น น้อยลงอย่างที่นิลสัมผัสได้เลย ผนวกกับความที่แอบรู้สึกไม่สนุกในงานมากขึ้น สุดท้ายเลยตกผลึกทางความคิดได้ว่าเราใช้ร่ายกายแบบชิบหายมาก ๆ ไปแล้ว
ค่าโง่จากการไม่สนใจสุขภาพ
ตอนนั้นนิลต้องเบิกประกัน 2 รอบเพราะว่าเป็นตาอักเสบรอบนึงกับเป็นหวัดไปอีกรอบ และผลกระทบจากการทำงานแบบไม่รู้จักเดือนไม่รู้จักตะวันก็คือครึ่งปีหลังนิลป่วยรัว ๆ แบบเบิกประกันไปหลายรอบมาก (ขอบคุณบริษัทที่มีประกันกลุ่ม 🙇🏻) ใช้ Sick Leave บ่อย แหละทำให้ต้องมา Recap หลังจากกลับมาหลังจากลาบ่อยครั้ง มันแอบมีความหงุดหงิดตัวเองแหละ เช่น ป่วยอีกและ วีคนี้เป็นหวัด วีคถัดไปก็เป็นอีก อะไรประมาณนี้ และก็ด้วยความที่ทำงานที่ใช้ Mouse กับ Keyboard เยอะแล้วไม่ยอมพัก ทำงานต่อเนื่องยาว ๆ ก็เลยทำให้เกิดอาการข้อมืออักเสบ Trigger Point ที่แขนเจ็บต่อเนื่อง ต้องพักตีแบต ถ่ายรูป เล่นเกมส์และห้ามนั่งทำงานนาน ๆ อีก ปัญหาสุขภาพตามมาเพียบ
ถ้าย้อนกลับไป จะยังเลือกเงินอยู่ไหม?
ถ้ามองย้อนไป สิ่งที่นิลพลาดคือเรื่องการ Estimate ความยากของงาน คิดว่างานง่าย ๆ และ Commit ไปว่าไม่เกิน 3 เดือนเสร็จ ซึ่งอันที่จริงมันใช้เวลาเยอะกว่านั้น ทำให้นิลต้องมาเบียดเวลาพักผ่อนส่วนตัว อ่านมาถึงตรงนี้แล้วนิลอาจจะต้องบอกว่านิลยังเลือกเงินอยู่ แต่!!!! ต้องมีการปรับระยะเวลาในการส่งมอบงานให้เหมาะสมกว่านี้เพื่อ Balance ทั้งเงินที่ได้รับกับการดูแลสุขภาพของเรา รวมทั้งการ Balance ความสุขในการทำงานอีกด้วย ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องคุยกับลูกค้าด้วยเพื่อ manage expectation ของงานให้ตรงกัน
สิ่งที่นิลได้รับจากการทำงานนอกนี้
- นิลเห็นความสำคัญของสุขภาพมากขึ้นละกัน จากตอนแรกที่แบบ จะนอนกี่โมงก็ได้ ตื่นไปทำงานได้คือโอเค ก็กลายเป็นนอนให้พอเพื่อ Refresh ร่างกายให้ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
- การรับงานมาแต่ละครั้ง อย่าคิดว่างานง่าย ๆ เด็ดขาด ถ้ามันง่ายจริง ๆ เขาไม่จ้างเราหรอก เขาทำเองก็ได้ ควรจะระมัดระวังในการประเมินส่วนต่าง ๆ ของงานว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่และอาจจะต้องมีการเผื่อในส่วนของ Safety Factor ด้วย
- คำตอบของคำถามต้น Blog อาจจะไม่มีคำตอบที่ตายตัวอยู่จริง ๆ ครับ หรือบางทีมันอาจจะเป็นคำตอบ ณ ช่วงเวลานั้น ๆ ของชีวิตว่าอะไรสามารถตอบโจทย์เราได้ ณ ตอนนั้น แต่อย่างไรก็ดีเราควรที่จะ Balance ระหว่างการหาเงินกับการรักษาสุขภาพให้ดีเพื่อที่จะได้ยืนระยะในการทำงานและได้ใช้ชีวิตกับคนที่เรารักอย่างมีความสุขครับ
จบไปแล้วนะครับ อีกบทความที่เป็น Experience Sharing ช่วงนี้นิลไม่ได้เขียน Blog เลยเพราะหมดแรงกับงานของออฟฟิศนิดนึงครับ จบ Blog นี้ไปอาจจะขอพักยาว ๆ ถึงปลายธันวาเลย น่าจะเป็นเกี่ยวกับการ Reflect ตัวเองในครึ่งปีหลังนี้ครับ ยังไงก็สามารถรอติดตามกันได้ ถ้าใครมี Feedback ตรงไหนสามารถทักมาบอกกันได้เลยนะครับ ยังน้อมรับ Feedback อยู่ตลอด หรือถ้ามี Topic ที่น่าสนใจก็ทักมาบอกกันได้ครับ ตอนนี้ Stock เริ่มวนแต่เรื่องงานแล้ว 🥲
มา Balance การทำงานกับสุขภาพกันเถอะ
นิล